บทที่ 10 การทำลาย
ทันทีที่คณเดชก้าวเท้าเข้าบ้าน เสียงเอะอะโวยวายจากด้านในก็ดึงความสนใจของเขาไปทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งด้วยความหวังว่าเพ็ญนีติ์อาจจะกลับมาแล้ว จึงรีบจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องของเธอ แต่ทว่า... เมื่อผลักบานประตูเข้าไป รูม่านตาของเขาก็หดเกร็งด้วยความตกใจ ความโกรธเกรี้ยวและความตื่นตระหนกที่ยากจะบรรยายถาโถมเข้าใส่หัวใจในชั่วพริบตา
สภาพภายในห้องดูเละเทะพังพินาศ ภาวินีกำลังอาละวาดทำลายข้าวของในห้องของเพ็ญนีติ์อย่างบ้าคลั่ง เสียงฉีกกระชากและเสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว กรรไกรในมือของเธอตวัดฟาดฟันใส่เสื้อผ้าของเพ็ญนีติ์อย่างไม่ยั้งมือ พร้อมกับรอยยิ้มแสยะที่ดูวิปลาสผุดขึ้นที่มุมปาก เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับรอบกายล้วนตกเป็นเหยื่ออารมณ์ พื้นห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายของเธอ
"ภาวินี! คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?" การกระทำของภาวินีนั้นเกินกว่าที่เขาคาดคิดไปมาก
ภาวินีหันขวับกลับมา ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย เธอมองคณเดชด้วยสายตายั่วยุ "ฉันเกลียดร่องรอยการใช้ชีวิตของพวกคุณที่นี่ เกลียดกลิ่นอายของนังรดา! ถ้าไม่ใช่เพราะมัน... ฉันกับคุณจะคลาดกันตั้งสามปีเหรอ? เห็นชัดๆ ว่ามันมาแย่งที่ของฉัน... แล้วทำไมต้องทำท่าเหมือนฉันเป็นคนทำร้ายมันด้วย? ทำเหมือนฉันเป็นมือที่สามอย่างนั้นแหละ!"
"ภาวินี คุณไม่ใช่มือที่สาม อย่าคิดฟุ้งซ่าน"
ทันใดนั้น สายตาของคณเดชก็กวาดไปเห็นชุดสูทผู้ชายตัวใหม่เอี่ยมแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า หัวใจเขากระตุกวูบ ภาพของธงชัยแวบเข้ามาในความทรงจำทันที
หรือว่านี่จะเป็นสูทของธงชัย? ความโกรธแค้นในใจของคณเดชปะทุขึ้นมาเหมือนคลื่นยักษ์ ยากที่จะสงบลงได้
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" เขาตะคอกเสียงดัง ก้าวเท้าอย่างมั่นคงเข้าไปหาภาวินี หัวใจแข็งกร้าวด้วยความโมโห พยายามจะเข้าไปหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนของเธอโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น
ภาวินีเองก็กำลังโมโหจนขาดสติ กรรไกรในมือจึงไร้ทิศทาง พลาดไปทิ่มโดนตัวคณเดชเข้าอย่างจัง
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น ย้อมแขนเสื้อของคณเดชจนแดงฉาน
"ว้าย! ข...ขอโทษค่ะพี่เดช!"
กรรไกรในมือภาวินีร่วงหล่นลงพื้น เธอตกใจจนรีบเอามือปิดปาก ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว สมองขาวโพลนทำอะไรไม่ถูก
"ว้ายตายแล้ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!"
มานิดารีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ที่เดินตามหลังมาติดๆ เมื่อเห็นคณเดชได้รับบาดเจ็บ เลือดหยดลงบนพรมสีขาวจนแดงฉาน เธอก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ "เดช! นี่... นี่ถึงขั้นลงไม้ลงมือใช้มีดใช้พร้ากันเลยเหรอ?"
"ทาวัต ให้รถไปส่งคุณภาวินีที่บ้านที" คณเดชข่มความเจ็บปวด ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง
ภาวินีไม่อยากกลับแน่นอน มานิดาเองก็ไม่อยากให้เธอกลับ ถ้าให้มานิดาจัดการ เธอคงอยากจะจับทั้งคู่ขังไว้ในห้องนอนด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้จะได้มีหลานให้อุ้มเลย
แต่ทั้งสองคนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของคณเดช จึงจำต้องให้คนขับรถพาภาวินีกลับบ้านไปเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ลงก่อน
เมื่อส่งภาวินีและมานิดากลับไปแล้ว บ้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง คณเดชไม่อยากอยู่ในห้องนอนที่เละเทะนั่น และด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่ทราบ เขาไม่อยากให้ใครเข้าไปทำความสะอาด จึงปิดประตูขังความยุ่งเหยิงไว้ข้างใน ไม่เห็นก็ไม่เจ็บใจ แล้วเดินหนีเข้าไปนั่งในห้องทำงาน
เสียงทะเลาะกับภาวินีเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในหัว คณเดชต้องการกาแฟสักแก้วเพื่อดับความหงุดหงิดในใจ ทาวัตจึงรีบกุลีกุจอชงกาแฟมาเสิร์ฟ
"แก้วนี้ผมเพิ่งชงมาครับ นายลองชิมดู" ทาวัตยื่นถ้วยกาแฟให้คณเดช แววตาแฝงไปด้วยความคาดหวังเล็กๆ
คณเดชรับกาแฟมาจิบเบาๆ แต่รสชาติขมปี๋ที่แตะลิ้นทำให้เขาต้องชะงัก เขาขมวดคิ้วด้วยความผิดหวังกับรสชาติที่ห่างไกลจากฝีมือของรดาลิบลับ กาแฟที่รดาชงมักจะมีความหวานละมุนกำลังดี ดื่มแล้วรู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ
"นายชงยังไงของนาย?" คณเดชอดไม่ได้ที่จะถามออกไป น้ำเสียงเจือความไม่พอใจ
ทาวัตหน้าสลดลงทันที เขาหยิบสมุดบันทึกที่รดาทิ้งไว้ให้ออกมาดูด้วยท่าทางลนลาน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย "ผมทำตามขั้นตอนในสมุดบันทึกเป๊ะๆ เลยนะครับ แต่ผมก็ไม่รู้ทำไม... รสชาติมันถึงไม่เหมือนเดิม"
สายตาของคณเดชเลื่อนไปหยุดที่มุมโต๊ะ สมุดบันทึกเล่มนั้นวางสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังบอกเล่าถึงความใส่ใจและความห่วงใยของรดา เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดดู ข้างในเขียนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันไว้เต็มไปหมด เช่น "ใส่น้ำตาลกี่ก้อน นมสดปริมาณเท่าไหร่", "ต้มกาแฟกี่นาที", "วันจันทร์ห้ามใช้เนคไทสีแดง", "เดชชอบทานขนมจีบซาลาเปามากกว่า", "ห้ามใส่ครีมเทียมเด็ดขาด" และอื่นๆ อีกมากมาย เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ดูธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยความรักอันเปี่ยมล้น
ทันใดนั้น ความรู้สึกซับซ้อนก็ถาโถมเข้ามาในใจคณเดช คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
"ที่ยอมเสียเวลามานั่งเดาใจคนอื่นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่พวกจอมวางแผน ก็ต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่ๆ!"
คณเดชสัมผัสได้ถึงความรักที่ลึกซึ้งจากบันทึกเล่มนั้น แต่ทิฐิและความโกรธที่ครอบงำอยู่ทำให้เขาไม่ยอมรับความอ่อนไหวในใจ ถ้าเธอรักเขามากขนาดนั้นจริงๆ จะทิ้งเขาไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ?
จะไปสนิทสนมกับธงชัยได้ลงคอเหรอ?
จะไม่ยอมพูดความจริงกับเขาเหรอ?
ทุกอย่างมันคือคำโกหก! ต้องเป็นคำโกหกแน่ๆ!
"ทาวัต นายคิดว่ารดามีเจตนาอื่นแอบแฝงกับฉันหรือเปล่า?" คณเดชเอ่ยถามขึ้นมาดื้อๆ ขัดจังหวะความคิดของทาวัต
ทาวัตชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า "ผมคิดว่า... คุณผู้หญิงเธอรักนายท่านมากนะครับ เรียกว่าคลั่งรักขั้นสุดเลยก็ว่าได้..."
คำพูดซื่อๆ ของทาวัตยิ่งทำให้จิตใจของคณเดชว้าวุ่นหนักกว่าเดิม
เขาอดไม่ได้ที่จะกดโทรศัพท์หาธงชัย
ใช่แล้ว... โทรหาธงชัยอีกแล้ว
ตอนนี้ช่องทางเดียวที่เขาจะติดต่อเธอได้คือผ่านทางธงชัย ทั้งที่เคยเป็นสามีภรรยากันแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เบอร์ติดต่อ เขาเบื่อเต็มทนกับวันที่ต้องโทรหาผู้ชายอื่นเพื่อตามหาภรรยาตัวเอง
ธงชัยยังคงปล่อยให้สายเรียกเข้าดังอยู่นานกว่าจะกดรับ
"คุณธงชัย ผมขอสายภรรยาผมหน่อย" น้ำเสียงของคณเดชดูเป็นธรรมชาติกว่าเมื่อเช้า แถมยังแฝงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไว้นิดๆ
"ไอ้เ..." ทรงพลกำลังจะสบถด่า แต่ก็โดนเพ็ญนีติ์เอาหมอนอุดปากไว้เสียก่อน
"ท่านประธานคณเดช ตอนนี้รดาไม่ใช่ภรรยาคุณแล้วครับ พวกคุณหย่ากันแล้ว" ธงชัยเตือนสติด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แถมยังระมัดระวังเปลี่ยนสรรพนามเพื่อไม่ให้ความแตก
"ฉันต้องการคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว" คณเดชไม่อยากเสวนากับธงชัยแม้แต่คำเดียว
ธงชัยหันไปมองเพ็ญนีติ์ เมื่อเห็นเธอพยักหน้า เขาจึงลากทรงพลเข้าไปในครัว พวกเขายังต้องทำอาหารให้เพ็ญนีติ์ต่อ จะให้ไอ้บ้านี่มาทำให้เพ็ญนีติ์เสียความอยากอาหารไม่ได้
เมื่อประตูปิดลงเบาๆ เพ็ญนีติ์จึงเอ่ยปากถาม "ฉันยุ่งอยู่ มีอะไรก็รีบพูดมา"
"ฉันต้องการเบอร์มือถือใหม่ของเธอ" คณเดชพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขา
"ไม่ให้!" เพ็ญนีติ์ปฏิเสธเสียงแข็ง
"แล้วฉันจะติดต่อเธอยังไง?!"
"ก็โทรหาธงชัยสิ ฉันอยู่กับเขาตลอดแหละ"
"รดา นี่เป็นวิธีแก้แค้นของเธอใช่ไหม? พอผละจากฉันปุ๊บ ก็รีบแจ้นไปอยู่กินกับธงชัยปั๊บเลยเหรอ? อยู่ต่อหน้าฉันเธอชื่อรดา แล้วอยู่ต่อหน้าธงชัยเธอจะใช้ชื่ออะไรอีกล่ะ? เธออยากจะทำตัวเหลวแหลกยังไงก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ ช่วยสำรวมกิริยาหน่อยก่อนจะถึงงานแซยิดครบแปดสิบปีของคุณปู่ อย่าให้มีข่าวฉาวโฉ่ไปเข้าหูท่าน! ฉันไม่อยากให้ท่านต้องมารู้ตอนแก่ว่าหลานสะใภ้ที่ท่านรักนักรักหนา เป็นผู้หญิงไร้ยางอาย!"
ตุ้บ!
โทรศัพท์ร่วงหล่นลงพื้น
เพ็ญนีติ์พิงกำแพงอย่างหมดเรี่ยวแรง มือไม้ตกลงข้างลำตัวอย่างคนไร้วิญญาณ
ความอัดอั้นและความโกรธเกรี้ยวอัดแน่นอยู่เต็มอก เหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับไว้จนหายใจแทบไม่ออก เธอรับไม่ไหวกับอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์จนแทบจะขาดใจ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวไปหมด
ความสิ้นหวังและความเจ็บปวดเปรียบเสมือนเมฆดำทะมึนที่ปกคลุมจิตใจ จนเธอไม่รู้จะหนีไปทางไหน
"คณเดช... คุณมองฉันแบบนี้ได้ยังไง... สิบสามปีที่รักกันมา... มันผิดที่ฉันเองสินะ..."
